วันศุกร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่อง Typography ในเชิงเบื้องต้น

Typography (ไท-ผะ-กรา-ฟิ) หรือที่คนไทยเรียกว่า "ไทโปกราฟี้" นั้น แน่นอนว่ามันเป็นรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษซึ่งแปลตรงตัวว่า วิชาตัวพิมพ์, วิชาการทำตัวพิมพ์ เป็นต้น โดยจะมีชื่อวิชาที่ใกล้เคียงและมีความเกี่ยวข้องกันบางบริบทที่ชื่อว่า Calligraphy ซึ่งแปลว่าวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร แต่ในส่วนของคำหลังนั้นมีความหมายหนักออกไปในเชิงการประดิษฐ์ตัวอักษรโดยใช้ส่วนของลายมือเป็นหลัก เป็นส่วนที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากคำข้างต้น ที่เน้นไปทางด้านศาสตร์และศิลป์ของตัวอักษรเสียมากกว่า

Typography, Typographic และ Typographer จริงๆ แล้วทั้ง 3 คำนี้ ในความรู้สึกส่วนตัวนั้นคิดว่าไม่เหมือนกัน โดย Typography จะให้ความรู้สึกไปทางด้านของงานออกแบบที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลักมากกว่า ส่วน Typographic น่าจะเป็นชื่อศาสตร์หรือวิชา เหมือนกับชื่อวิชาต่างๆ เช่น Geographic, Physics หรือ Photographic ที่ออกไปทางวิชาการ และ Typographer นั้นก็แปลว่า นักออกแบบ หรือนักประดิษฐ์ตัวอักษร ด้วยเหตุฉะนี้เราควรทำความเข้าใจในส่วนคล้ายคลึงกันของคำแต่ละคำกันก่อน


ส่วนแรก ประวัติศาสตร์สากลของ Typography ซึ่งเวลาเรา
จะศึกษาอะไรซักอย่างแล้ว เราก็ควรที่จะศึกษาด้านประวัติศาสตร์ของตัวหนังสือกันเสียก่อน ในส่วนนี้เป็นเรื่องของสากล ยังไม่เกี่ยวกับใน ประเทศไทยของเรา...


ประวัติศาสตร์ของตัวพิมพ์นั้นแบ่งออกเป็น 5 ยุค
ใหญ่ๆ ได้แก่ Humanistor OLD STYLE,
TRANSITIONAL, MODERN, EGYPTIAN หรือ SLAB SERIF และ Geomentric SANS SERIF
ซึ่งแต่ละยุคก็ย่อมามีความแตกต่างกัน ดังนี้...





Humanistor OLD STYLE ยุคแรกเริ่มของตัวพิมพ์ที่เริ่มสร้างบทบาทของตัวพิมพ์ขึ้นมา โดยยุคนี้เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1966 (ยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ เรอนาซองส์) ซึ่งตัวอักษรที่โด่งดัง และเป็นตัวแทนของยุคนี้ก็คือ Garamond นั่นเอง โดยที่ตัวอักษรในยุคนี้จะมีขา เส้นตีน หรือว่าเชิงอยู่ ที่เรียกกันว่า Serif







ในยุคต่อมาคือ TRANSITIONAL ตัวอักษรได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากสร้าง Contrast กับระหว่างเส้นตั้งและนอน ลดเส้นและส่วนที่ไม่
สำคัญลงไป แต่ยังคงไว้ด้วยเส้นเชิง หรือ Serif โดยตัวพิมพ์ที่เป็นตัวแทนของยุคนี้ชื่อ Baskerville







MODERN ยุคที่ตัวอักษรพัฒนามาถึงที่สุดแห่งความ Contast จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวอักษร
ในยุคนี้ได้มีการพัฒนาอย่างชัด คือเส้นตั้ง เส้นเอน และเส้นนอนจะมีความแต่ต่างกันอย่างมาก จนสังเกตุได้ชัด ซึ่งเส้นที่บางเราจะเรียกว่า Hairline โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Bodoni








EGYPTIAN หรือ SLAB SERIF เป็นยุคที่การ
ค้าขายเจริญ การพิมพ์ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย และตัวอักษรในยุคนี้ก็มีเอกลักษณ์อย่างชัดเจนก็คือ เส้นเชิงหรือ Serif นั้น มีขนาดเท่ากับเส้นแนวตั้งหรือแนวนอนของตัวอักษร ซึ่งตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Rockwell






และในยุคสุดท้ายถึงปัจจุบัน ก็ได้มีการพัฒนาตัวอักษรมาจนเป็นที่เด่นชัดกที่สุดก็คือ SANS SERIF ซึ่งในยุคนี้ตัวอักษรจะไม่มีเชิง เป็นการลดทอนความไม่จำเป็นออกไปจนถึงที่สุด โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้มีมากมาย แต่เท่าที่โด่งดังที่สุดก็คือ Helvetica ซึ่งเป็นตัวอักษรที่มีผลกระทบต่องานออกแบบมาที่สุดในช่วงทศวรรษนึงเลยทีเดียว






จากเรื่องราวของประวัติศาสตร์ตัวพิมพ์อย่างคร่าวๆ เราจะเห็นได้ว่าด้วยรูปแบบและความจำเป็น
ของตัวอักษรได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง