Typography (ไท-ผะ-กรา-ฟิ) หรือที่คนไทยเรียกว่า "ไทโปกราฟี้" นั้น แน่นอนว่ามันเป็นรากศัพท์มาจากภาษาอังกฤษซึ่งแปลตรงตัวว่า วิชาตัวพิมพ์, วิชาการทำตัวพิมพ์ เป็นต้น โดยจะมีชื่อวิชาที่ใกล้เคียงและมีความเกี่ยวข้องกันบางบริบทที่ชื่อว่า Calligraphy ซึ่งแปลว่าวิชาประดิษฐ์ตัวอักษร แต่ในส่วนของคำหลังนั้นมีความหมายหนักออกไปในเชิงการประดิษฐ์ตัวอักษรโดยใช้ส่วนของลายมือเป็นหลัก เป็นส่วนที่ค่อนข้างแตกต่างไปจากคำข้างต้น ที่เน้นไปทางด้านศาสตร์และศิลป์ของตัวอักษรเสียมากกว่า
Typography, Typographic และ Typographer จริงๆ แล้วทั้ง 3 คำนี้ ในความรู้สึกส่วนตัวนั้นคิดว่าไม่เหมือนกัน โดย Typography จะให้ความรู้สึกไปทางด้านของงานออกแบบที่ใช้ตัวอักษรเป็นหลักมากกว่า ส่วน Typographic น่าจะเป็นชื่อศาสตร์หรือวิชา เหมือนกับชื่อวิชาต่างๆ เช่น Geographic, Physics หรือ Photographic ที่ออกไปทางวิชาการ และ Typographer นั้นก็แปลว่า นักออกแบบ หรือนักประดิษฐ์ตัวอักษร ด้วยเหตุฉะนี้เราควรทำความเข้าใจในส่วนคล้ายคลึงกันของคำแต่ละคำกันก่อน
ส่วนแรก ประวัติศาสตร์สากลของ Typography ซึ่งเวลาเราจะศึกษาอะไรซักอย่างแล้ว เราก็ควรที่จะศึกษาด้านประวัติศาสตร์ของตัวหนังสือกันเสียก่อน ในส่วนนี้เป็นเรื่องของสากล ยังไม่เกี่ยวกับใน ประเทศไทยของเรา...
ประวัติศาสตร์ของตัวพิมพ์นั้นแบ่งออกเป็น 5 ยุคใหญ่ๆ ได้แก่ Humanistor OLD STYLE,
TRANSITIONAL, MODERN, EGYPTIAN หรือ SLAB SERIF และ Geomentric SANS SERIF
ซึ่งแต่ละยุคก็ย่อมามีความแตกต่างกัน ดังนี้...
Humanistor OLD STYLE ยุคแรกเริ่มของตัวพิมพ์ที่เริ่มสร้างบทบาทของตัวพิมพ์ขึ้นมา โดยยุคนี้เกิดขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1966 (ยุคฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ เรอนาซองส์) ซึ่งตัวอักษรที่โด่งดัง และเป็นตัวแทนของยุคนี้ก็คือ Garamond นั่นเอง โดยที่ตัวอักษรในยุคนี้จะมีขา เส้นตีน หรือว่าเชิงอยู่ ที่เรียกกันว่า Serif
ในยุคต่อมาคือ TRANSITIONAL ตัวอักษรได้มีการพัฒนาขึ้นมาจากสร้าง Contrast กับระหว่างเส้นตั้งและนอน ลดเส้นและส่วนที่ไม่สำคัญลงไป แต่ยังคงไว้ด้วยเส้นเชิง หรือ Serif โดยตัวพิมพ์ที่เป็นตัวแทนของยุคนี้ชื่อ Baskerville
MODERN ยุคที่ตัวอักษรพัฒนามาถึงที่สุดแห่งความ Contast จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตัวอักษรในยุคนี้ได้มีการพัฒนาอย่างชัด คือเส้นตั้ง เส้นเอน และเส้นนอนจะมีความแต่ต่างกันอย่างมาก จนสังเกตุได้ชัด ซึ่งเส้นที่บางเราจะเรียกว่า Hairline โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Bodoni
EGYPTIAN หรือ SLAB SERIF เป็นยุคที่การค้าขายเจริญ การพิมพ์ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย และตัวอักษรในยุคนี้ก็มีเอกลักษณ์อย่างชัดเจนก็คือ เส้นเชิงหรือ Serif นั้น มีขนาดเท่ากับเส้นแนวตั้งหรือแนวนอนของตัวอักษร ซึ่งตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้คือ Rockwell
และในยุคสุดท้ายถึงปัจจุบัน ก็ได้มีการพัฒนาตัวอักษรมาจนเป็นที่เด่นชัดกที่สุดก็คือ SANS SERIF ซึ่งในยุคนี้ตัวอักษรจะไม่มีเชิง เป็นการลดทอนความไม่จำเป็นออกไปจนถึงที่สุด โดยชื่อตัวอักษรที่เป็นตัวแทนแห่งยุคนี้มีมากมาย แต่เท่าที่โด่งดังที่สุดก็คือ Helvetica ซึ่งเป็นตัวอักษรที่มีผลกระทบต่องานออกแบบมาที่สุดในช่วงทศวรรษนึงเลยทีเดียว
จากเรื่องราวของประวัติศาสตร์ตัวพิมพ์อย่างคร่าวๆ เราจะเห็นได้ว่าด้วยรูปแบบและความจำเป็น
ของตัวอักษรได้มีการปรับเปลี่ยนและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
2 ความคิดเห็น:
1. ลองเช็คความหมายของคำว่า calligraphy กับ lettering ดูอีกที
การเขียนด้วยปากกาปากตัด (คอแร้ง) ของตะวันตก หรือเขียนด้วยพู่กันจีน (แบบในหนังเรื่อง Hero) ก็น่าจะรวมเรียกว่า calligraphy
2. ตรวจทานปี ค.ศ. ในช่วง Old Style ในบล็อกเขียนไว้ว่า 1966 ???
3. slab serif ท่ี่เป็นตัวอย่าง rockwell สะกดขาดตัว l ไปหนึ่งตัวครับ
ขอบคุณมาก
ต่อนะ
-phy, -phic, -pher
จะเป็นตัวต่อของรากศัพท์ ซึ่งเราได้ทราบกันมาก่อนแล้วว่า ส่วนใหญ่คำศัพท์ทางตะวันตกจะมีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน
เพราะฉะนั้น การเติม -phy ไปข้างหลัง (ซึ่งเรียกว่า suffix แต่ถ้าเติมข้างหน้าจะเรียกว่า prefix) จะทำให้เกิดเป็นรูปคำศัพท์ แบบคำนาม noun เช่น photography, typography, geography ซึ่งจริงๆ แล้วก็คือการเติมตัวอักษร y เข้าไปนั่นแหละ
ส่วนการเติม -phic จะทำให้คำศัพท์คำนั้นเป็น คำวิเศษณ์ adjective ซึ่งมีหน้าที่ขยายคำนาม/noun สรรพนาม/pronoun คำกริยา/verb
-pher จะง่ายสุด ก็คือผู้ที่ทำสิ่งนั้นๆ เช่น ช่างภาพ/photographer ช่างวาด/painter นักออกแบบ/designer นักปราชญ์/philosopher และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเมื่อเติม -er เข้าไปแล้วคำนั้นๆ จะกลายเป็นคำนาม
แสดงความคิดเห็น